08 กรกฎาคม, 2567
หัตถกรรม กระจูด มรดกภูมิปัญญา
ประวัติความเป็นมา
กระจูดเป็นพืชล้มลุกพวกกก มีเหง้าไต้ดิน มีลำต้นกลมสีเขียวอ่อน ซึ่งเป็นกกกอใหญ่ทั่วไปในพื้นป่าพรุ ลำต้นทรงกลมเรียวยาว 50-120 เซนติเมตร หนา 2-7 มิลิเมตร ภายในกลวง มีแผ่นยางกั้นเป็นระยะ โคนลำต้นหุ้มด้วยกาบ มีดอกใกล้ปลายยอดหรือยอด รูปรีสี่น้ำตาล ภาษาถิ่นภาคใต้เรียกกระจูดว่า “จูด” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์: Leparine articulate(aitg) Doming ชื่อวงศ์: cyperaceae ชอบขึ้นในพื้นที่น้ำขัง ทำให้ต้น “กระจูด” เติบโตได้ดีในพื้นที่ป่าพรุ เช่นที่ป่าพรุทะเลน้อย จ.พัทลุง ป่าพรุควนเคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
คุณสมบัติเด่นของ “กระจูด” ก็คือ สามารถดูดความชื้นได้ดี เหนียวและทน ทำให้ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นเสื่อสำหรับปูนอน หรือภาษาใต้เรียกว่า “สาดจูด” เพราะระบายความร้อนได้ดี นอนแล้วเย็นสบาย และเมื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่น อย่าง กระเป๋า จะมีความทนทานเป็นพิเศษ ไม่เปื่อยขาดง่าย ยิ่งใช้ยิ่งนิ่ม ยิ่งเก่าเท่าไรสีจะยิ่งสวยขึ้นเท่านั้น
ในภาคใต้ มีการนำกระจูดมาทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ โดยภูมิปัญญาท้องถิ่น สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นนานหลายชั่วอายุคน เดิมทีกระจูดถูกนำมาใช้เป็นงานจักรสานในบ้านเรือน อย่างเรียบง่าย เช่น เสื่อกระจูด กระจาดใส่ของ กระสอบใส่ข้าวสาร ที่มีความเหนียวคงทน ดูดซับความชื้นได้ดี ไม่เปื่อย ไม่ขาดง่าย ที่สำคัญยิ่งใช้ยิ่งมีความสวยงาม จะมีความนิ่ม และมีสีสันที่สวยงามมากขึ้นจากภูมิปัญญาง่ายๆจากบรรพบุรุษ สู่การเปลี่ยนแปลงในรุ่นลูก สืบมาถึงรุ่นหลาน ทำให้วิวัฒนาการของกระจูดไม่ได้อยู่แค่เสื่อ หรือของใช้เรียบง่ายเท่านั้น แต่กระจูดยังเดินทางเข้าสู่ตลาดของใช้แฟชั่น ที่สามารถสร้างรายได้ในชุมชนเป็นกอบเป็นกำให้คนในชุมชน
ปี พ.ศ.2541-2542 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจเยี่ยมเยียนประชาชนพื้นที่ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง พระองค์ทรงสร้างศิลปาชีพหัวป่าเขียว สร้างงานศิลปาชีพงานทอผ้า งานปักผ้า งานสานกระจูดและด้านอื่นๆ ที่ส่งเสริมให้กับประชาชนในพื้นที่ และการให้ความสำคัญความเป็นความเป็นอยู่ชีวิตของประชาชนทุกคน ทรงรับซื้อชิ้นงาน ของชาวบ้านทุกชิ้น ชาวบ้านทำงานส่งเข้าศิลปาชีพมีรายได้จนถึงปัจจุบัน ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลทรงมีแนวพระราชดำริให้ฟื้นฟูและพัฒนางานฝีมือพื้นบ้านในแต่ละภูมิภาค
ด้วยเหตุนี้กระจูดที่ชาวบ้านใช้เวลาว่างจากการทำนา ทำสวนยาง ผลิตชิ้นงานที่เดิมทีทำใช้เองในครัวเรือน ในรูปแบบเรียบง่าย มีลวดลายสีสันแบบดั้งเดิม ทั้งลายสอง ลายลูกแก้ว จึงกลายเป็นสินค้าหัตถศิลป์ที่กลายเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศ กระจูดถูกนำมาพัฒนาต่อยอดงานฝีมือจากความเรียบง่าย สู่ความทันสมัย ใส่ความเป็นแฟชั่น สร้างรายได้ให้ชุมชน และยังกลายเป็นสินค้าส่งออก สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ
ในอดีต… ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณรอบป่าพรุและบริเวณใกล้เคียง มีอาชีพและรายได้หลัก จากการทำนา ทำสวน และบางส่วนออกเรือทำประมง และใช้เวลาว่างในการสานกระจูดใช้เองในครัวเรือน และบางส่วนนำไปจำหน่ายนอกหมู่บ้าน เพื่อหาอาชีพและรายได้เสริมของครอบครัว โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังเป็นเสื่อกระจูดแบบบ้านๆ ลวดลายธรรมดา ต่อมาเมื่อผลิตภัณฑ์จากกระจูดเริ่มเป็นที่รู้จัก และเริ่มมีความต้องการจากตลาด ชาวบ้านจึงได้มีการรวมตัวกัน เกิดวิสาหกิจชุมชนจักสานกระจูดขึ้นมาตามชุมชนต่างๆ ซึ่งแต่ละชุมชนได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ ของใช้ในบ้าน ประเภท ตะกร้า หมอน ที่รองจานและแก้ว และผลิตภัณฑ์ในหมวดแฟชั่น ได้แก่ หมวก รองเท้า กระเป๋า เป็นต้น โดยได้รับช่วยเหลือจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชน มาเป็นพี่เลี้ยงให้กับแต่ละวิสาหกิจ โดยสินค้าที่มีการตอบรับและสร้างรายได้หลัก ให้กับชาวบ้านมากที่สุด ก็คือ “กระเป๋ากระจูด” นั่นเอง
หัตถกรรมจักสานกระจูด ภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ชาวบ้านบริเวณรอบป่าพรุ นำกระจูดมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ โดยนำลำต้นของกระจูดมาจักสานเป็นเครื่องปูลาด เรียกว่า “สาด” (ภาษาถิ่นภาคใต้ ) หรือ “ เสื่อ” หรือบรรจุภัณฑ์ที่เรียกว่า “สอบ”หรือกระสอบ การสานเสื่อกระจูดเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านในท้องถิ่นสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
งานสานกระจูดเป็นของใช้แบบต่าง ๆ เช่น เสื่อ กระบุง ตะกร้า กระเป๋า หมวก ไว้ใช้ในบ้าน ช่นเดียวกับคนท้องถิ่นภาคใต้ ซึ่งใช้เส้นใยจากพืชที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น มาสานเป็นเครื่องใช้ในวิถีชีวิตประจำวัน เช่นสานสาดจูดไว้ปูนอนหรือตากข้าวเปลือก สานสอบไว้ใส่ข้าวเปลือกที่ตากแล้วไว้ลำเลียงไปขาย สานกระบุงไว้ใส่ข้าวสาร ใส่หอมกระเทียมในครัว สานเชี่ยนหมากไว้ใส่่หมากพลูปูนกินกับหมาก ขาดเครื่องใช้เครื่องมืออะไรก็ดัดแปลงสานเป็นภาชนะตามรูปทรงที่ต้องการใช้ในชีวิตประจำวันได้เสมอ
กระจูดสามารถนำมาจักสานและผลิตเป็นของใช้หลากหลายรูปแบบ ผลิตภัณฑ์กระจูดของกลุ่มฯ ได้แก่ - กระเป๋าสานแฟชั่น
- ตัดเย็บเสื่อกระจูด เป็น กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเอกสาร กระเป๋าสตรี พัด แผ่นรองจาน - สมุก กระบุง สำหรับใส่ของขนาดต่าง ๆ
- ตะกร้าใส่เสื้อผ้า
- กล่องใส่ของขนาดต่าง ๆ
- หมวกผู้หญิง หมวกผู้ชาย
- เสื่อสีธรรมชาติ , เสื่อลายยกดอก
- หมอน , เบาะรองนั่ง
- ปกสมุดบันทึก
- ปกเมนูอาหารขนาดต่าง ๆ
- รับออกแบบผลิตภัณฑ์ตามที่ลูกค้าต้องการ เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์จากกระจูดเป็นวัสดุจากธรรมชาติ ที่มีความเหนียวและนุ่ม เมื่อนำมาจักสานเป็นผลิตภัณฑ์ จะช่วยในการระบายความร้อน ซึ่งคนในชุมชนสมัยก่อนได้นำกระจูดมาสานเป็นเสื่อสำหรับปูนอน แสดงถึงวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างหนึ่งของคนภาคใต้ ซึ่งแต่เดิมชาวบ้านนิยมใช้ สื่อกระจูด ปูนอน เพราะลักษณะของภูมิอากาศของภาคใต้ร้อนชื้น คนในสมัยก่อนจึงได้นำเอากระจูดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ จากป่าพรุ มาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่น ดังนั้นคนในชุมชนรอบ ป่าพรุควนเคร็ง โดยเฉพาะที่บางน้อย บ้านไร่เนิน ตำบลท่าเสม็ด บ้านควนป้อม ตำบลควนเคร็ง บ้านกุมแป ตำบลบ้านตูล และบ้านโคกทรางตำบลนางหลง ของอำเภอชะอวด จึงได้นำกระจูดมาจักสาน เป็น สื่อ สำหรับใช้ปูนอน ปูนั่ง หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น กระจูดจึงเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีชื่อเสียง และเรียกกันติดปากกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ว่า ถ้าจะซื้อเสื่อ หรือสาด ต้องซื้อ “สาดชะอวด” คือต้องเป็นเสื่อของอำเภอชะอวดเท่านั้น เป็นที่รู้จักของคนในท้องถิ่นและจังหวัดนครศรีธรรมราช
ป่าพรุควนเคร็งเป็นสถานที่ที่กระจูดขึ้นอยู่ตามธรรมชาติอย่างมากมาย ที่ชาวบ้านบริเวณรอบ ป่าพรุควนเคร็ง ได้นำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตตั้งแต่บรรพบุรุษ ด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านที่ได้สั่งสมมาจากบรรพบุรุษชาวบ้านในชุมชนรอบป่าพรุ จึงนำกระจูดมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตได้อย่างสอดคลอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น นำขี้เถ้ากระจูดละลายกับน้ำมันงามาแก้เลือดออกทางสะดือของทารกหลังตัดสายสะดือ แล้วมีเลือดออกมากผิดปกติ นำลำต้นกระจูดมาสานเป็นเครื่องปูลาด เรียกว่า “ สาดจูด” ( ภาษาถิ่นภาคใต้ ) เสื่อ หรือบรรจุภัณฑ์ เรียกว่า “สอบจูด” ( ภาษาถิ่นภาคใต้ ) กระสอบ หรือถุง ปัจจุบันผลิตภัณฑ์จักสานจากลำต้นกระจูดได้พัฒนารูปแบบจาก สาดจูด และ สอบจูด ให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางและเหมาะสมกับยุดสมัยมากขึ้น เช่น หมวก กระเป๋า รองเท้าแตะใส่ในบ้าน ชุดรองจาน ชุดปูโต๊ะอาหาร เครื่องตกแต่งบ้าน เป็นต้น
ประเภทผลิตภัณฑ์
ประเภทดั้งเดิม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่นิยมทำกันมานาน จนไม่ทราบว่าเริ่มต้นเมื่อไร แยกออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ เสื่อและกระสอบ เสื่อ หรือที่ชาวใต้เรียกกันว่า " สาด " ใช้สำหรับปูลาดในหลายโอกาส เช่นงานประเพณีต่าง ๆ และหลายสถานที่ เช่น ห้องนอน ห้องรับแขก และหน้าโรงมหรสพ เป็นต้น ชาวชนบททั่วไปนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางจนปัจจุบันเพราะมีความทนทานคุ้มค่า ราคาไม่แพง นอกจากนี้ใช้สำหรับปูลาดเพื่อตากข้าวหรือสิ่งของอื่น ๆ หรือ จะใช้ประกอบทำเป็นฝาบ้าน หรือเพดานบ้านก็ได้
เสื่อที่นิยมสานมีหลายขนาดตาม ความยาวของต้นกระจูด โดยทั่วไปขนาดกว้างประมาณ 1.0 - 1.5 เมตร ยาวประมาณ 2.0 - 2.5 เมตร ยกเว้นเสื่อที่สานเป็นกรณีพิเศษ เช่น สานเสื่อ ถวายเป็นศาสนสมบัติให้แก่วัด เพื่อใช้เป็นกิจการงานส่วนรวมหรือใช้ปูลาดเป็นอาสนสงฆ์ จะขยายความยาวออกไปถึง 15 เมตร หรือยาวกว่าก็มี โดยวิธีสานต่อไปเรื่อย ๆ เรียกว่า " สาดลวด "ส่วนกระสอบที่พบมีหลายชนิด เช่น นั่งสอบ สอบนอน สอบหมาก สอบหมุก เป็นต้น แต่ละชนิดมีลักษณะรูปแบบขนาดและประโยชน์ใช้สอยแตกต่างกัน
ประเภทพัฒนาส่งเสริม หลังจากที่รัฐมีหน่วยงานในการส่งเสริมอุตสาหกรรมและพัฒนาอาชีพของประชากร ขึ้นแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐได้เข้าไปให้คำแนะนำกรรมวิธีในการผลิต ช่วยเสริมแนวคิดเรื่องรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ สามารถขยายตลาดให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม เช่น ทำเป็นเสื่อสำหรับใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว กระเป๋าถือ กระเป๋าสะพายแบบต่าง ๆ หมวกแบบต่าง ๆ เป็นต้น
หน่วยงานสำคัญที่มีส่วนในการส่งเสริมและพัฒนาหัตถกรรมประเภทนี้ให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและกรมพัฒนาชุมชนโดยส่งเข้าไปศึกษาหาทางส่งเสริมพัฒนาทั้งในเรื่องรูปแบบ กรรมวิธีและสีที่ย้อม เช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กองอุตสาหกรรมในครอบครัวทำการออกแบบผลิตภัณฑ์กระจูดและจัดพิมพ์ออกเผยแพร่ เมื่อ พ.ศ. 2527 เพื่อใช้เป็นแบบให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป แต่ความนิยมในการประกอบการตามประเภทที่ 2 นี้ยังมีความแพร่หลายไม่มากนักทั้งนี้เพราะขั้นตอนซับซ้อนกว่า ต้นทุนสูงกว่า ผู้ประกอบการขาดความรู้ความ ชำนาญ ผลงานยังไม่ประณีต ตลาดจึงยังแคบกว่าผลิตภัณฑ์แบบเดิม
แหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ
แหล่งวัสดุ(คือต้นกระจูด) ที่สำคัญๆ ในภาคใต้ อยู่แถบลุ่มทะเลสาบสงขลา คือบริเวณทะเลน้อยหรือบริเวณพรุควนเคร็งในเขตพัทลุงและนครศรีธรรมราช และริมฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย คือ บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา และนราธิวาส แหล่งกระจูดในเขตพื้นที่ขึ้นเองตามธรรมชาติและที่นำมาปลูกทำเป็นนากระจูด รวมพื้นที่เป็นแหล่งกระจูดทุกเขตที่มีไม่น้อยกว่า 10,000 ไร่ แหล่งผลิตส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกันกับแหล่งวัตถุดิบ จะมีบางหมู่บ้านที่ทำหน้าที่ผลิตอย่างเดียวไม่มีแหล่งวัตถุดิบ รับวัตถุดิบมาจากหมู่บ้านอื่น
วัตถุดิบ คือ ต้นกระจูดขนาดต่าง ๆ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของนาหรือผู้ประกอบการจะไปถอนมาจากบริเวณที่มีกระจูด การถอนนิยมถอนทีละ 2 - 5 ต้น วันหนึ่งคนหนึ่งจะถอนได้ประมาณ 10 - 15 กำป่า (1 มัดกระจูดที่มัดมาจากแหล่งกระจูดเรียก 1 กำปา โตขนาดลำต้นตาลโตนด) 1 กำปา นำมาแยกเป็นกำผืนได้ประมาณ 4 - 5 กำผืน (มัดกระจูดที่มี ปริมาณพอสานเสื่อได้ 1 ผืน เรียก 1 กำผืน)
หมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตและแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ คือ
1. หมู่บ้านทะเลน้อย ตำบลทะเลน้อยและตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เป็นแหล่งผลิตที่มีผู้ประกอบการมากที่สุดแห่งหนึ่ง มีการผลิตเครื่องกระจูดออกจำหน่ายตลอดปี มีการปลูกกระจูดขึ้นใช้เองในหมู่บ้านด้วย มีเนื้อที่ปลูกกระจูดไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ ตำบลทะเลน้อย เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีประชากรประมาณ 5,000 คน ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณริมทะเลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบสงขลา เรียกว่า "ทะเลน้อย" ตำบลทะเลน้อยเคยเป็นที่ตั้งอำเภอมาก่อน ชื่ออำเภอพนางตุง ต่อมาภายหลังได้ย้ายอำเภอไปตั้งที่ตำบลควนขนุน จึงเปลี่ยชื่อเป็นอำเภอควนขนุน อาชีพที่สำคัญของชาวทะเลน้อยคือการประมงน้ำจืดในทะเลสาบทะเลน้อย และการทำไร่ทำนาบริเวณที่ราบเหนือทะเลน้อยขึ้นไป ปลาน้ำจืดที่มีชุกชุมในทะเลน้อยคือ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาชะโค
ในปัจจุบันนี้ การสานเสื่อกระจูด กำลังจะกลายเป็นอาชีพที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาวทะเลน้อย นอกเหนือไปจากอาชีพสำคัญสองประการที่กล่าวมาแล้ว การสานเสื่อกระจูดของชาวทะเลน้อยนั้นจะเริ่มสานกันมาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏแต่มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา การสานเสื่อกระจูดเป็นงานของผู้หญิงและคนแก่ในยามว่าง ในขณะที่ผู้ชายออกไปหาปลาและทำไร่ผู้หญิงและคนแก่จะทำงานบ้าน และสานเสื่อในยามว่างสำหรับเก็บไว้ใช้ในครอบครัว หรือสานเป็นกระสอบสำหรับใส่ข้าวสาร
2. หมู่บ้านควนยาว ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งและเป็นที่ที่มีกระจูดขึ้นตามธรรมชาติมาก เคยเป็นแหล่งวัสดุของหมู่บ้านทะเลน้อย ก่อนที่จะมีกระจูดขึ้นใช้เอง
3.หมู่บ้านบ่อกรัง ตำบลท่าสะท้อน อำเภอพูนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้ผลิตไม่มากนัก ส่วนใหญ่นำกระจูดซึ่งมีมากไปจำหน่ายให้กับหมู่บ้านอื่นที่มีการประกอบการมาก
4.หมู่บ้านสะกอม ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นแหล่งผลิตที่รับวัสดุมาจากหมู่ บ้านอื่นในเขตอำเภอจะนะและเทพาซึ่งมีกระจูดขึ้นเองตามธรรมชาติ รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 5,000 ไร่
5. หมู่บ้านทอน ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส เป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งวัสดุ
อุปกรณ์เครื่องมือ
อุปกรณ์เครื่องมือ ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์เครื่องมือใช้ในการเตรียมวัสดุก่อนสาน ประกอบด้วย
1. ที่สำหรับคัดขนาดความยาวของกระจูด ที่สำหรับผึ่งหรือตากกระจูด คือ ลานบ้าน หรือที่โล่งเตียน
2. ที่รองทิ่มหรือทุบกระจูด คือ แท่งไม้ขนาดประมาณ 35 C 200 เซนติเมตร ใช้เป็น สากปลายตัดสำหรับทิ่มหรือทุบกระจูด
3.ลูกกลิ้งทรงกระบอกคล้ายครกตำข้าวใช้กลิ้งทับต้นกระจูด
4.ภาชนะสำหรับใช้ในการย้อมสี
5.กรรไกร หรือมีดตัดหนวดเสื่อใช้เมื่อสานเสร็จ และจักรเย็บผ้า ใช้เย็บรอยต่อของผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ เช่น เสื่อ พับ และกระเป๋าถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น
ขั้นตอนการผลิต
การเตรียมกระจูด
เริ่มตั้งแต่คัดเลือกหรือแยกกระจูดตามความยาว จนถึงทำ กระจูดให้แบนพร้อมที่จะจะนำมาสานได้ ซึ่งแต่ละพื้นที่มีขันตอนต่างกันไม่มากนัก เช่น การเตรียมกระจูดของชาวทะเลน้อยมีขั้นตอนดังนี้
นำกระจูดมาเข้าที่สำหรับคัดเลือกหรือแยกความสั้นยาวโดยนำกระจูดมาจับทีละกำป่า หรืออาจจุมากน้อยกว่าเล็กน้อยมาวางในแนวตั้ง แล้วดึงต้นกระจูดที่ยาวออกไปรวมไว้อีกแห่งหนึ่ง เรียกการคัดเลือกกระจูดโดยวิธีนี้ว่า "โซะกระจูด " ใช้มีดตัดส่วนที่ไม่ต้องการออก นำกระจูดที่ได้คัดเลือกแล้วคลุกน้ำโคลนดินสอในรางน้ำที่เตรียมไว้เมื่อได้ที่แล้วนำมาตากแห้งประมาณ 2 - 3 วัน แล้วเก็บเข้าที่เก็บไว้ 4 - 5 วัน เพื่อให้ต้นกระจูดคลายตัว เมื่อจะใช้ก็เอากระจูดไปตากน้ำค้าง 1 คืน เพื่อให้ต้นกระจูดลื่นสะดวกในการทิ่ม จากนั้นนำไปทิ่มหรือทุบทีละมัด โดยนำไปไปวางบนแท่งไม้สี่เหลี่ยม ทิ่มหรือทุบให้แบนด้วยสากตำข้าวหัวตัด การทิ่มจะทิ่มคนเดียวหรือสองคนก็ได้แล้วแต่สะดวกโดยใช้เท้าทั้งสองเหยียบมัดกระจูดไว้เดินหน้า ถอยหลัง ทิ่มจนกระจูดแบนตามต้องการจากนั้นก็แก้มัดออกปอกกาบโคนของลำต้นทิ้งแล้วเก็บเข้าที่ไว้สานต่อไป
ในกรณีที่ต้องการย้อมสี นำกระจูดที่ทิ่มและตากน้ำค้าง 1 คืน แล้วมาทับด้วนลูกกลิ้งน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม จนแบนตามต้องการแล้วนำไปแช่น้ำไว้ ต้มน้ำให้เดือดเอาสีใส่น้ำคนให้สีละลายดี แล้วนำกระจูดที่จะย้อมมาพับจุ่มลงไปในน้ำสีแช่ไว้ประมาณ 2 - 3 นาที จึงนำขึ้นไปผึ่งแดดประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง แล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม ข้อควรระวังในการย้อม คือ ระยะเวลาของการย้อมต้องกำหนดให้เท่าเท่ากันทุกครั้ง มิฉะนั้นจะได้กระจูดที่มีสีไม่เสมอกัน การย้อมสีกระจูดจะทำให้ลายจักรสานเด่นขึ้นกว่าปกติ
การสาน
ใช้สถานที่ภายในบ้านเรือนหรือชานเรือน หรือลานบ้านที่มีพื้นเรียบเป็นสถานที่สาน ถ้าไม่ค่อยเรียบมักจะใช้เสื่อที่สานเสร็จแล้วรองอีกชั้นหนึ่ง วิธีการสาน นำต้นกระจูดที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาสานเป็นลายต่าง ๆ ตามความสามารถและความต้องการของผู้สานโดยปกติจะสานด้วยลายสอง ถ้าสานเป็นเสื่อจะเริ่มต้นจากริม คือตั้งต้นจากปลายตอกด้านใดด้านหนึ่งไปจนสุดปลายตอกอีกด้านหนึ่ง แต่ถ้าเป็นถาชนะ เช่น กระสอบนั่ง จะเริ่มต้นจากกึ่งกลางของตอก ท่านั่งสานที่สะดวก คือ นั่งขัดสมาธิและนั่งชันเข่าข้างเดียว เมื่อสานต้องให้ปลายต้นกับโคนต้นสลับกัน มิฉะนั้นจะทำให้เสียรูปได้ เพราะขนาดต้นกระจูดส่วนโคนต้นจะโตกว่าส่วนปลาย เทคนิควิธีสานจะแตกต่างกันตามรูปแบบและชนิดของผลิตภัณฑ์และถนัดของผู้สานโดยเฉพาะเสื่อ มีผู้ศึกษาพบว่าที่หมู่บ้านทะเลน้อยนี้มีสานเป็นลายต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 20 ลาย เช่น ลายสอง ลายสาม ลายสี่ ลายดอกจันทน์ ลายก้านต่อดอก ลายดาวล้อมเดือน ลายพัด ลายดอกจันทน์แขก ลายดอกพิกุล ลายก้างปลา ลายพม่ารำขวาน ลายขนมปัง ลายดอกไม้ ลายตีนสุนัข ลายยายชิงเมือง ลายใยแมงมุม ลายสี่หน่วยใน ลายลูกแก้ว ลายกระดานหมาก และลายประดิษฐ์อื่น ๆ เช่น ลายตัวหนังสือ ลายที่นิยมสานกันมากที่สุด คือ ลายสอง นอกจากสานเป็นลายเสื่อและยังสานเป็นภาชนะต่าง ๆ หมู่บ้านที่มีการประกอบการกันอย่างกว้างขวาง เช่นที่บ้านทะเลน้อย ผู้สานจะมีตั้งแต่วัยเด็กอายุ 7 ขวบ ถึงคนชราอายุ 60 - 70 ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ผู้ชำนาญการจะสานเสื่อได้วันละ 3 - 4 ผืน
การตกแต่ง
งานสานเสื่อกระจูดเป็นงานที่เกือบจะพูดได้ว่า ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วในคราวเดียว มีการตกแต่งต่อเติมน้อย คือ มีการเก็บริมหรือพับริม อย่างที่ชาวทะเลน้อยเรียกว่า "เม้ม " และการตัดหนวด คือปลายตอกที่เหลือออกเท่านั้น การเก็บริม หรือการพับริมพบว่า มี 2 แบบ คือ แบบพับกลับ คือ การพับปลายตอกเข้าหาผืนเสื่อสานตามลายสานเดิมประมาณ 3 - 4 นิ้ว แล้วตัดส่วนที่เหลือออก แบบช่อริม คือ การพับปลายตอกที่เหลือให้คุมกันเองคล้ายกับการถักแล้วตัดส่วนทีเหลือ ออก
การเก็บรักษา
เสื่อที่สานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะถูกเก็บไว้ในที่ร่มไม่ให้ถูกน้ำเพราะถ้าถูก น้ำฝนจะทำให้เกิดเชื้อราและเสียหายเร็ว วิธีเก็บมี 2 แบบ คือ ม้วนเก็บและซ้อนเก็บ
การทำนากระจูด
เดิมทีไม่มีการทำนากระจูด ผู้ประกอบการจะนำกระจูดจากแหล่งธรรมชาติมาใช้ซึ่งในที่บางแห่งต้องประสบปัญหาด้านการขนส่งและระยะทาง ต่อมาในบางหมู่บ้านได้มีผู้ริเริ่มนำต้นกระจูดมาปลูกในพื้นที่ใกล้หมู่บ้านของตน เช่น ที่หมู่บ้านทะเลน้อย เรียกได้ว่า เป็นการทำนากระจูดอย่างแท้จริง เดิมหมู่บ้านนี้ใช้กระจูดที่นำมาจากตำบลเคร็ง ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 7 - 8 กิโลเมตร โดยทางเรือ แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2472 นายสุข เดชนครินทร์ กำนันตำบลพนางตุง ได้ริเริ่มนำกระจูดจากแหล่งธรรมชาติมาทดลองปลูก จนในปี พ.ศ. 2504 การปลูกกระจูดบริเวณที่ลุ่มชายฝั่งทะเลน้อยก็มีขึ้นอย่างกว้างขวางทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านใต้
พื้นที่จะปลูกกระจูดได้ต้องมีน้ำขังตลอดปี หรือ จะแห้งสัก 2 - 3 เดือน การปลูกหรือการทำนากระจูดมีกรรมวิธีคล้ายกับการทำนาข้าว (นาดำ) คือ ก่อนปลูกชาวนาจะต้องตกแต่งพื้นที่ให้เรียบ แต่ไม่ต้องยกคันนา เพียงแต่ทำเขตให้มองเห็นเป็นสัดส่วนว่า พื้นที่ใดเป็นของใครก็เพียงพอ การปลูกกระจูดต้องทำในช่วงเวลาที่ในนามีน้ำขังหรือน้ำแฉะๆ โดยนำกล้ากระจูด (หัวกระจูด) มาเป็นกอ ๆ กอ หนึ่ง ๆ จะมีกระจูดประมาณ 10 - 20 ต้น ปักให้ห่างกันประมาณ 70 -100 เซนติเมตร จากนั้นก็คอยกำจัดวัชพืชอื่น ๆ เช่น จำพวกตั๊กแตนกินดอก หนูและนากที่คอยจะถอนหัวหรือต้นอ่อนของกระจูด ประมาณ 12 เดือน กระจูดก็จะโตพอถอนมาใช้งานได้ กระจูดส่วนหนึ่งก็จะถูกถอนไปใช้งาน เหลือต้นอ่อนหรือต้นที่ความยาวยังไม่พอไว้ถอนครั้งต่อไป นากระจูดแต่ละแปลงสามารถถอนกระจูดหมุนเวียนต่อเนื่องกันไปได้ 9 - 10 ปี จึงจะมีการปลูกใหม่ ทั้งนี้หลังจากที่เห็นว่ากระจูดงอกหนาเกินไปและมีต้นแห้งตายมาก
คุณค่าทางวัฒนธรรม
หัตถกรรมกระจูดในภาคใต้ นอกจากจะให้คุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอยในลักษณะต่าง ๆ ตามประเภทและชนิดของผลิตภัณฑ์แล้ว ยังให้คุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมต่อชุมชนผู้ประกอบการและบ้านเมืองอีกด้วย การประกอบการทั้งส่วนที่จัดหาวัตถุดิบ คือ ต้นกระจูด ส่วนผลิตคือสาน และส่วนจัดจำหน่าย ช่วยให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้นจากอาชีพหลักทางการเกษตรกรรมอื่น ๆ เช่น ทำนา ทำประมง ฯลฯ
ทำให้มีการแบ่งงานกันอย่างทั่วถึงในหมู่สมาชิกของครอบครัวช่วยลดปัญหาการว่างงานในหมู่บ้าน และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ช่วยฝึกเด็กและเยาวชนให้รู้จักงานศิลปะป้องกันการเที่ยวเตร่และประพฤติเหลวไหล ในกลุ่มหนุ่มสาวได้ส่วนหนึ่ง จึงนับได้ว่าหัตถกรรมประเภทนี้มีคุณค่าทั้งในตัวมันเองและผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกันอย่างมากมาย
ที่มา https://www.tungsong.com/NakhonSri/manufacture/bulrush/bulrush_7.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)